Home | About us | บริการถ่ายภาพ | ห้องภาพ | บทความ | เว็บบอร์ด | เช็คราคากล้อง-เลนส์ | โหราพยากรณ์ | Links  
       
  จิ่วไจโกว - หวงหลง สวรรค์บนดิน
รถทัวร์          

ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ และมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายจริง ๆ และเหมือนว่า รัฐบาลของเขาเองก็เอาจริงกับเรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่ทำไมคนไทยจึ่งแห่งกันไปเที่ยวกัน ไม่ว่าจะไปเที่ยวปักกิ่ง กำแพงเมืองจีน จุตรัสเทียนอันเหมิน คุนหมิง และยังมีที่จะเปิดใหม่อีกมาก ประเทศจีน ตามที่ไกด์จีนสอน พื้นที่ประเทศจะเหมือนไก่ โดยที่ตรงหัวใจ จะเป็นเมืองหลวง คือ ปักกิ่ง ส่วนเฉินตู จะอยู่ตรงท้องไก่พอดี ระยะเวลาการบินจากเมืองไทยไปถึง เฉินตูก็ไม่กี่ชั่วโมง เหมือนว่า เครื่องบินเงยหน้า พอตั้งหลักได้ก็ เชิดหัวลงแล้ว ก็จะถึงสนามบินเฉินตู ที่ไม่ใหญ่มาก เดินนิดเดียวก็ออกมานอกอาคารแล้ว ซึ่งจะต้องทนนั่งรถอีกเป็นวัน กว่าจะถึงจิ่วไจโกว ลักษณะเมืองเฉินตู อากาศจะปิดแทบทั้งปี เลยมีฉายาว่า เฉินตูสุนัขเห่าพระอาทิตย์ เรียกว่า ปีนึงจะเห็นพระอาทิตย์น้อยครั้งมาก สุนัขเลยตกใจ เขาว่ากันอย่างนั้นนะ ส่วนสภาพเมือง เรียกว่าการเจริญโตสูงมาก เห็นแต่รถ Benz Bmw ตัวท๊อป ๆ หลายคันรถเมล์


           การที่จะไปเที่ยวจิ่วไจโกว หวงหลง สามารถเที่ยวได้เกือบทั้งปี ยกเว้นฤดูหนาวที่หิมะลงจัด อุทยานแห่งชาตินี้ก็จะปิด ช่วงที่จะไปแล้วสวยที่สุด จะเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณเดือน ตุลาคม ซึ่งค่าท่องเที่ยวจะแพงมาก ในระหว่างทาง จะมีโปรแกรมให้แวะยืดแข็งยืดขากันบ้าง กว่าจะถึงโรงแรมที่จิ่วไจโกว ก็มืด
         
            ตื่นเช้ามา ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ แบบแย่งกันกิน (ช่วงนี้คนมาเที่ยวเยอะมาก) คนจีนสมัยใหม่นิยมกินแบบนี้มากกว่าหาทำอาหารเอง พออิ่มแล้วขึ้นรถไปอุทยาน อากาศหนาวมาก อาจจะเป็นไปได้ว่าร่างกายยังปรับไม่ได้ ท้องไส้ก็บวม เนื่องจากอยู่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ไกด์ไทยแนะนำให้เอาออก ด้วยการผายลม หาจังหวะดี ๆ กันเอง พอมาถึงที่จอดรถ ก็ต้องเดินไปที่ประตู รอตั๋วจากไกด์จีน ค่าตั๋วผ่านจิ่วไจโกว 200 หยวน หรือ ประมาณ 1000 บาท ต่อแถวเข้าไปมีบาร์โค้ด พร้อมถ่ายรูปบันทึกหน้า บ้านเราไม่รู้มีอุทยานแห่งชาติที่ไหนทำหรือป่าว เดินเข้าไป ต้องขึ้นรถเมล์ที่จัดให้ ในกรณีไปเอง เข้าคิวรถประจำทางที่บริการในจิ่ว จะเป็นสีเขียว

          ทริปนี้ที่มาเที่ยวเป็นแบบเที่ยวในจิ่วไจโกว 2 วันเต็ม ๆ ขนาด 2 วันเต็ม ๆ ยังมีเวลาให้ถ่ายภาพน้อยมาก ลักษณะเส้นทางท่องเที่ยวจะเป็นตัว Y ซี่งทางซ้ายจะสูงกว่าทางขวา วันแรกไปทางขวามือก่อน อากาศวันนี้เริ่มมีหิมะตกที่ยอดเขา อากาศก็ปิด ตายละหว่า ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมา

 

 

 

 

 

น้ำตกซูเจิ้ง

          พอมาถึงสถานที่แรก ตามที่คิด ต้องถ่ายแบบ panarama แน่นอน เลนส์ wide ที่เอามากว้างสุดที่ 24 mm แถมต้อง เจอตัวคูณไปอีก 1.6 เอาวิธีนี้ดีสุดเพื่อที่จะได้ภาพบรรยากาศทั้งหมด อีกอย่างน้ำตกนี้ใหญ่มาก สังเกตคนสิครับ ตัวนิดเดียว ถ่ายแนวตั้งประมาณ 6 ภาพ

ปลาเปลือย

 

          จากนั้นก็เดินลงไปดูข้างล่างน้ำตก ระดับโอโซนจากน้ำตกมีมาก หายใจสบาย แต่ว่าละอองน้ำเยอะเกิน กลัวกล้องพัง เลยถ่ายรูปเล่น ๆ กันสองสามที เวลาจำกัด ต้องรีบขึ้นรถไปต่อ จากนั้นอีกที่สองที่ ต้องลงมากินข้าว บุฟเฟต์อีกแล้วครับท่าน ที่นั่งหายากมาก ต้องไวและก็ต้องดุ เพื่อให้ได้มา

        หลังจากกินอิ่มแล้วก็เดินซื้อของทิเบตที่เอามาขาย เจอลูกหยอดจากไกด์จีน หวีจามรี เลยหาซื้อกันใหญ่ แต่ละคนภูมิใจที่ได้ซื้อ แต่ก็สังหรณ์ใจลึก ๆ ว่า มันใช่เขาจามรีแน่หรอ (สรุปเป็นพลาสติกครับ ลองเอามาเผาดูแล้ว) ส่วนหินทิเบตนั้น ไกด์ไทยแนะนำว่าอย่าซื้อ เพราะว่าเป็นของหายาก และส่วนมาจะปลอมมาขาย หินทิเบต เขามีความเชื่อในเรื่องพลังจักรวาล เมื่อก่อนภูเขาเหล่านี้จมอยู่ใต้น้ำ ผ่านไปจนแผ่นดินดันขึ้นมาเป็นภูเขาสูง   เรียกว่าได้สะสมพลังธรรมชาติมาเป็นเวลาล้าน ๆ ปี บวกกับชาวทิเบตชอบสวดมนต์กันเรียกได้ว่าแทบทั้งวัน ถ้าได้จากพระทิเบตก็จะยิ่งขลัง ส่วนลายบนหินนั้นไม่ได้เกิดจากหิน แต่เป็นจากยางไม้ที่มาเอามาลงให้เป็นลวดลายตามความเชื่อ ลักษณะเลขาคณิต ที่คล้องจองกับจักรวาล

 

        เมื่อช็อปกันเสร็จก็เที่ยวกันต่อ มาทางขวามือเช่นเดิม คราวนี้ไปที่น้ำตกที่มีการถ่ายทำเรื่องไซอิ๋ว โดยเดินผ่านน้ำตก ใครจำได้บ้าง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในที่นี้ ทางรัฐบาลจ้างให้มาดูแลความสะอาด เรียกว่าเจอขยะ ก็เก็บ ชาวบ้านมีงานทำ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ดีเหมือนกัน และถ้าไกด์ท้องถิ่น เขาจะให้แต่งตัวชุดหมู่บ้านดูแล้วน่ารักดี ความเชื่ออีกอย่างของชาวธิเบตคือ เมื่อตายแล้ว จะเอาเนื้อผู้ที่เสียชีวิต ให้นกแร้ง กินเพื่อเป็นการทำบุญอย่างแรงกล้า เมื่อพระสวดเสร็จ แล่เนื้อแล้วให้นกกิน ถ้านกกินเลย แปลว่ามีบุญ แต่ถ้าไม่ยอมกิน พระต้องเอามาสวดใหม่ จนกว่านกจะยอมกิน เรียกว่าพวกบาปหนัก ชาวธิเบตเลยไม่กินนก ทำให้คอถ่ายภาพนกสามารถถ่ายภาพนกได้อย่างใกล้ ๆ เพราะนกไม่กลัวถูกล่า

       หลังจากนั้น ถึงโปรแกรมบังคับ ดูชงชา (จะให้ซื้อชา) ก็เหมือนปกติ เอาชามาแนะนำ จากที่ได้ฟังมา เขาว่า ชาดี ๆ ก็มาจากเมืองไทยเยอะ ของดีได้ โอท๊อบด้วย ราคาถูกว่าที่นี่นิดหน่อย แต่ได้ชาเกรด A แน่นอน ใครไปใจแข็งไว้นะครับ แต่ผลเสียคือ คนขับรถและไกด์จีน จะบริการเราแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะไม่ได้ค่าคอมจากร้านพวกนี้ ซึ่งมานด่าพวกผมเป็นภาษาจีน แต่โชคร้ายหน่อยที่ว่า กรุ๊ปที่ไปมีอาม่าเยอะ เขาฟังออก

     

 

           พอออกมาจากร้านชาก็มาทานข้าว และเตรียมไปดูการแสดงธิเบต ครั้งแรกที่เห็น หนุ่ม สาวที่แสดง สูง หล่อ และสวย กันเยอะมาก แต่การแสดงส่วนมากจะเน้นร้องเพลงให้ฟังมากกว่า เขาภูมิใจมาก ถ้าได้ยินเสียงเพลงร้อง ฮา ฮ้า ยาว ๆ ให้เดาได้เลยว่าธิเบตแน่ ๆ ชาวทิเบตในเมืองจีนมีทั้งหมด 10 เผ่า แต่ละเผ่า ผู้ชายต้องพกดาบ และชีวิตนึงอาบน้ำ 3 หน คือ เกิด แต่งงาน และตาย การดูฐานะ ว่าคนทิเบตนี้เป็นยังไงสังเกตได้ที่ ขนสัตว์ที่ใส่ ถ้าเป็นขนเสือ หมี รวยแน่นอน และอีกอย่างดูที่บ้าน ถ้าสามชั้น รวยแน่ ๆ การถ่ายภาพการแสดง ใช้เลนส์เทเล แต่โชคร้ายอยู่ไกลมาก โดนอาม่าบังอีก

 

 

สาวธิเบตงิ้วพ่นไฟ

           หลังจากที่กลับมาจากดูการแสดงที่แสนจะยาวนาน ก็ออกไปหาอะไรกินกัน อยากรู้ว่าคนแถวนี้กินอะไร ข่าวลือว่า สุกี้ที่นี้ขึ้นชื่อ เลยไปที่ร้านตรงข้ามโรงแรม ไกด์จีนดันป่วยขอตัวกลับไปก่อน เหลือแต่ลูกทัวร์ที่พูดจีนได้บ้าง เลยสั่งสุกี้ปลามากิน ที่นี่คิดกิโลเป็นชั่ง ผลของการคุยกันไม่รู้เรื่อง เลยโดนโข็กราคา ปลาตัวละพันกว่าบาท นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ให้ถ่ายคริปวีดีโอตอนตกลงและชั่งน้ำหนักไว้ก่อนทุกครั้ง

          รุ่งเช้าอีกวันที่จิ่วไจโกว เหมือนร่างกายจะปรับสภาพได้ วันนี้จะไปทางเส้นทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของจิ่วไจโกว อากาศหนาวใช้ได้เลยครับ วันนี้พอมีแดด ทำให้ได้ภาพสวยหลายใบ ใช้เทคนิคเหมือนเดิม ถ่ายแนวตั้งมาต่อกัน เป็น panorama ความยากอยู่ที่ประชากรที่มาเที่ยวเยอะมาก ต้องหาที่และต้องไว

จิ่วไจโกว

          ภาพต่อมา ถ่ายตอนลงบันได ใช้ c-pl ตัดแสงสะท้อน สีฟ้าเป็นสีน้ำจริงๆ เมื่อตัดแสงสะท้อนออกไป เหมือนเดิมครับคือ ภาพนี้ต้องไว เพราะคนข้างหลังจะเดิมไม่ได้

ทะเลสาบ 5 สี

          เสร็จจากจิ่วไจโกว คืนนี้ ต้องไปพักแรมที่หวงหลงกัน เพื่อจะได้ขึ้นหวงหลงในตอนเช้า แต่ก่อนถึงโรงแรม แวะโรงงานหยก เหมือนเดิมครับ คนขับรถหงุดหงิดมาก เพราะไม่มีใครซื้อหยกเลย เหมือนเดิมครับ เพราะว่าครั้งนึ่งมีคนซื้อหยกไป กลับไปเมืองไทยไปร้านทอง ให้ทำแหวนหยก เจ้าของร้านบอกว่าหยกเกรด B ที่ร้านเขามีสวยกว่าและถูกกว่า และก็จริงอย่างที่เขาว่าครับ ของที่ร้านเนื้อดีกว่าจริงๆ

 

          มาถึงโรงแรมก็มาเถียงเรื่องบริการของโรงแรม พวกพนักงานจะมาถือกระเป๋า โดยคิดเงินคนละ 5 หยวน โวยวายกันพักนึง สรุปคืนนี้นอนโรงแรมห่วย น้ำร้อนมาหลัง 6 โมงเย็น พร้อมกะ ฮีตเตอร์ และปิดตอนเที่ยงคืน ก่อนอาหารเย็นไปเดินเล่นที่ตลาด จะมีเด็กขอตังค์เรา อย่าให้นะครับถ้าให้มีหวังหมดตัว จากคนเดียวจะออกมาเป็นสิบ ไหน ๆ ก็มาถึงเลยลองเนื้อจามรีย่าง และ ชาเนย ที่ว่าอร่อย มันก็โอเคนะครับแต่กินทุกวัน ท่าทางจะไม่ไหว แต่ด้วยระดับที่สูงกว่าน้ำทะเล ซึ่งสูงประมาณ 3500 เมตร อากาศเบาบาง ท้องบวม ลมในกระเพาะเยอะมาก ขนาดซองโอวันตินบวมแทบจะระเบิด รู้ยังนี้น่ากินยาที่นำมา ยาปรับความดัน จะได้นอนอย่างสบาย ๆ

           

          เวลาผ่านไปเที่ยงคืน รู้ได้จากการที่โรงแรมมันตัดฮิตเตอร์ หลับ ๆ ตื่น ๆ นอนไม่สบาย เช้ามาทานอาหาร คนจีนกับบุหรีเป็นของคู่กันเรียกได้ว่าพ่นควันคุยกันได้เลย มื้อนี้เริ่มเอาหมูหยองออกมากินกัน จากนั้นทำธุระเสร็จขึ้นรถผ่านภูเขาไฟที่ปกคลุมด้วยหิมะ ไกด์บอกว่าที่นี่หนังเรื่อง ไซอิ๋ว ก็มาถ่ายทำอีก เหมือนกัน จากนั้นมาถึงหวงหลง ก็เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ตอนแรกว่าจะเดินขึ้นไป แต่ว่าจ่ายเงินค่ากระเช้าไปแล้ว เลยเอาแบบนี้ดีกว่า เอาเวลาที่เหลือทุ่มกับการถ่ายภาพ ดีกว่าเดิน ค่ากระเช้ากับค่าออกซิเจนกระป๋อง พอ ๆ กันนะครับ ขึ้นกระเช้าไปแหละดีสุดแล้วเดินลงเอา เมื่อขึ้นกระเช้าไปถึงยอด อุณหภูมิ -1 องศา พร้อมกับหิมะ กล้องหลายตัวเริ่มมีปัญหากัน แต่เรากล้อง DSLR ไม่หวั่น ยกเว้นมันตกเท่านั้น

       ภาพนี้วัดแสงแบบเฉพาะจุด โดยวัดที่เงามืดสุดให้ -2 ได้อารมณ์อีกแบบ

       การเดินบนพื้นไม้ที่เปียกจากหิมะละลายทำให้ลื่นมากต้องระวัง เห็นนักท่องเที่ยว ลื่นล้มหลายคนแล้ว ผมเองก็เกีอบๆ ไปสองสามที ยังไงสะก็ต้องรักษากล้องยิ่งชีพ

ชั้นบนสุด หวงหลง

           ส่วนภาพด้านล่างผมหมุน c-pl ตัดแสงสะท้อนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ่ายแนวตั้งเหมือนเดิม ความยากของที่นี่คือ คนที่เดินผ่านไปผ่านมา และหิมะกำลังจะตก ทำให้ความไวชัตเตอร์ต่ำ ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง

       สีน้ำที่เห็นและน้ำที่เป็นแอ่ง ๆ เกิดจากตะกอนน้ำมาจับตัวกันเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ก็มีพวกเ_ร ดีที่ไม่ใช่คนไทย อยากถ่ายภาพ ขึ้นไปยืนบนแอ่ง ถ้ามันหักขึ้นมาจะเป็นยังไงน้ะ ทำยังไงก็ไม่เหมือนเดิมนั่นคือคำตอบ

       แต่ได้เห็นธรรมชาติแบบนี้ นี่แหละ สวรรค์ แต่ชีวิตนี้มาครั้งเดียวพอ เพราะไม่อยากนั่งรถเป็นวันอีกแล้ว

 


 
 

Design by TaewTong | taewtong2002@yahoo.com

 

Copyrights © 2007 www.doartdee.com | All rights reserved.